epr
K
Knowledge

เพราะสินค้าไม่ได้จบที่เชลฟ์.. เพิ่มความใส่ใจของผู้ผลิตด้วย EPR

เคยรู้สึกไหมว่าแค่เราลดขยะด้วยตัวเองอาจจะยังไม่พอ

เราจะสังเกตได้ว่าเดี๋ยวนี้ผู้บริโภคมีการใช้จ่ายอย่างมีความรับผิดชอบทั้งกับสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือเป็น Conscious consumer มากขึ้น ในด้านของการผลิต เราได้ชื่นชมและสนับสนุนผู้ผลิตหลายที่ที่ได้ปรับตัวตาม แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายเจ้าที่ยังไม่เล็งเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ เราเลยต้องการให้มีผู้ผลิตที่มีความรับผิดชอบร่วมกันมากขึ้น

 

ในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้วในยุโรป ได้มีการใช้หลักการที่มอบบทบาทให้ผู้ผลิตคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากผลิตภัณฑ์ของตัวเองตั้งแต่การผลิตจนถึงการสิ้นอายุการใช้งาน และทำอะไรบางอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงมัน หลักการนี้มีชื่อเรียกว่า EPR 

 

EPR คืออะไร

EPR หรือ Extended Producer Responsibility แปลเป็นไทยอย่างง่ายว่าการขยายขอบเขตความรับผิดชอบของผู้ผลิต คือขยายจากการดูแค่ในกระบวนการผลิตเป็นดูแลตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ หรือดูแลตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ > ผลิต > วางขาย > อยู่ในมือผู้บริโภค > ดูแลจัดการสินค้าหลังหมดอายุการใช้งานแล้ว

 

เป้าหมายของ EPR

EPR มีเป้าหมายหลักอยู่ 2 อย่าง คือ

  1. เพื่อให้เกิดการปรับปรุงการออกแบบผลิตภัณฑ์และระบบของผลิตภัณฑ์  

  2. เพื่อให้มีการรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์และวัสดุในผลิตภัณฑ์หลังการใช้งานผ่านการเก็บรวบรวม การบำบัด การใช้ซ้ำและการนำกลับมาใช้ใหม่ [อย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและไม่ก่อให้เกิดผลกระทบด้านลบเชิงสังคม] (van Rossem, and Lindhqvist 2005)

 

โดยข้อแรกเป็นข้อที่สำคัญมาก เพราะจากบทความที่แล้ว (ใครกันบอกได้ อะไรจะถูกรีไซเคิล) เราจะเห็นได้ว่าปัญหาของขยะที่จัดการไม่ได้ ปัญหาที่ผู้บริโภคไม่สามารถแก้ปัญหากันเองได้คือเรื่องของวัสดุและการออกแบบสินค้าที่ไม่เอื้อกับการรีไซเคิลหรือการจัดการที่เหมาะสมอื่น ๆ แต่ผู้ผลิตสามารถช่วยได้มาก 

 

ตัวอย่างเช่น  ลดแพ็คเกจจิ้งที่ไม่จำเป็น เปลี่ยนวัสดุของผลิตภัณฑ์นั้นจาก Composite material (มีหลายวัสดุมาประกอบกัน) มาเป็นแบบ mono-material ที่รีไซเคิลได้ หรือเปลี่ยนเป็นวัสดุที่ยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นทางอย่างแท้จริง

 

ส่วนข้อสอง อาจเป็นการตั้งระบบที่จัดการขยะผลิตภัณฑ์ของตัวเอง ซึ่งควรเป็นระบบที่มีภาครัฐให้การสนับสนุน เพราะจากที่ผ่านมา เรามีโครงการบริจาคขยะ โครงการรับขยะประเภทเฉพาะต่าง ๆ แต่พบว่าการเข้าร่วมมีอุปสรรคหลายอย่างที่ทำให้ไม่เกิดผลในวงกว้างอย่างที่ควร เช่น การที่จุดรับแต่ละจุดไม่ได้สะดวกกับทุกคน การเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร หรือเรื่องของวัฒนธรรม กล่าวคือ ประเทศไทย เป็นประเทศที่คนเก็บขยะ ซาเล้ง หรือผู้รับซื้อขยะมีส่วนสำคัญในการตัดสินว่าขยะชิ้นนั้นจะถูกรีไซเคิลหรือไม่ คนทั่วไปก็คุ้นชินกับการรับซื้อหรือเก็บขยะหน้าบ้านมากกว่าการแยกไว้แล้วเดินทางไปส่งขยะที่อื่น ๆ รวมถึงการไม่ร่วมมือกันกับระบบกลาง ทำให้ขยะที่ต้องส่งโครงการต่าง ๆ เป็นขยะที่ขายไม่ได้ราคาอย่างไม่มีการเปลี่ยนแปลง 

 

ตัวอย่างของ EPR ที่เกิดขึ้นแล้ว

  1. 100% Recyclable: ตัวสินค้าสามารถนำไปรีไซเคิลได้จริง จากทั้งตัววัสดุเองและมีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เช่น กระป๋องอะลูมิเนียมหรือโลหะต่าง ๆ พลาสติกหนา ๆ ประเภท PP หรือ HDPE 

  2. Reduced Packaging: การลดแพ็คเกจจิ้งที่ไม่จำเป็นไป เช่น เครื่องสำอางหรือสกินแคร์หลายแบรนด์ที่เมื่อก่อนจะต้องใส่กล่องหุ้มด้วยพลาสติกอีกชั้น ก็เปลี่ยนเป็นตัวขวดหรือหลอดโดยป้องกันการปนเปื้อนด้วยซีลอะลูมิเนียมฟอยล์

  3. Responsibly Produced: ผลิตอย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ลดผลกระทบ เช่น ลดการปล่อยแก๊สเรือนกระจก ผลิตสินค้าให้มีอายุการใช้งานยาวนาน ลดการปล่อยของเสียหรือมีขยะจากการผลิตเกินความจำเป็น ไม่ผลิตมากเกินไป (Mass production) 

  4. Take-back program: พบมากในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บางแบรนด์ที่รับสินค้าของตัวเองกลับไปจัดการ โดยให้ส่วนลดสำหรับซื้อสินค้าชิ้นใหม่

 

ประเทศพัฒนาแล้วก็ยังมีปัญหาขยะ แต่อยู่ในรูปของขยะที่ที่ส่งออกมาบ้านเรา

อย่างไรก็ตาม ในประเทศที่พัฒนาแล้ว มีกรณีที่เราเห็นชัดจากการเน้นข้อสอง คือการที่ประเทศเหล่านั้นสามารถเก็บรวบรวมขยะได้ถูกต้องมากขึ้น แต่เนื่องจากค่าบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมมีต้นทุนสูง ทำให้เกิดเรื่องของการส่งออกขยะไปยังประเทศกำลังพัฒนาให้เป็นผู้กำจัด (และผู้รับผลกระทบ) แทน 

 

ไม่ใช่แค่ CSR แต่เป็น CSV

การทำ EPR โดยเกิดจากภาคเอกชนเอง อาจจะนับว่าเป็น CSV (Creating Shared Value) อย่างหนึ่งได้ เพราะเป็นการที่มองผลประโยชน์ของสังคม โดยยึดจากตัวธุรกิจและความเชี่ยวชาญขององค์กรเพื่อเพิ่มกระทบทางบวกให้กับสังคมโลก และยังเป็นในแนวทางของการประกอบธุรกิจที่แสวงหาการเติบโตได้อีกด้วย 


 

EPR เกิดขึ้นได้ด้วยความร่วมมือ

จริงๆแล้วเพื่อนๆจะเห็นว่าการใช้ EPR เป็นเรื่องที่น่าสนับสนุน โดยเฉพาะจากภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นการร่วมมือกัน การสร้างเป็นนโยบาย บทบังคับขึ้นมา เพื่อให้ผู้ผลิตสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้มากขึ้น

ส่วนผู้บริโภค ก็ต้องเข้าใจว่านอกจากจะมีความรับผิดชอบในการผลิตของผู้ผลิตแล้ว ยังมีความรับผิดชอบของผู้บริโภคอีกด้วย เราต้องช่วยกันในทุกภาคส่วน โดยอาจจะใช้ Good Life Goal ข้อที่ 12: ใช้ให้คุ้มค่า (ตรงกับ SDG 12: Responsible Consumption and Production) เป็นแนวทางง่าย ๆ 

 

 

1 เรียนรู้เรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน

2 ลดการเกิดขยะด้วยการใช้ซ้ำ ซ่อมแซม แบ่งปันกันใช้ หรือนำไปรีไซเคิล 

3 กินอาหารให้หมด สั่งแต่พอดี หรือแบ่งเก็บไว้กินในมื้ออื่น

4 สะสมมิตรภาพและประสบการณ์ ไม่ใช่ให้แค่สิ่งของ

5 เรียกร้องให้องค์กรธุรกิจให้นึกถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง

 

 อ่านเพิ่มเกี่ยวกับ Good Life Goals ได้ที่ Good Life Goals: เป้าหมายที่ดีต่อตัวเองและโลกใบนี้

 

#AsGreenAsYouCan

#littlebiggreen

 

Quiz

Sharing Green Shop

Sharing Your Green Shop

Sharing your green shop
มาแนะนำร้านกรีนสุดโปรดของคุณกันเถอะ

มาช่วยกันแชร์ข้อมูลของร้านกรีน ๆ ที่คุณ รู้จัก ให้กลายเป็นคอมมูนิตี้ที่ทุกคนสามารถ ค้นหาร้านกรีน ๆ ที่อยู่ใกล้ตัวคุณ

เริ่มเลย!

Shade of Green

คุณคิดว่าตัวเองมีความกรีนแค่ไหน?

Play Quiz!